10 สุดยอดเครื่องมือสร้างเว็บไซต์สำหรับ 2023
การเปรียบเทียบเครื่องมือสร้างเว็บไซต์โดยการสร้างเว็บไซต์จริง

เครื่องมือสร้างเว็บไซต์เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ทุกเครื่องมือที่จะให้คุณภาพที่คุณต้องการ ฉันทดสอบเครื่องมือสร้างรายใหญ่ในตลาดเพื่อดูว่าเครื่องมือใดมีเทมเพลต ฟีเจอร์และประสบการณ์โดยรวมที่ดีที่สุด
ฉันคงไม่ต้องบอกถึงความสำคัญของเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพหรือความสะดวกในการใช้งาน แต่ดูเหมือนว่าเครื่องมือจากทุกบริการนั้นโฆษณาว่าจะดีให้บริการที่ดีสุด ทั้งง่ายที่สุด เร็วที่สุดและให้ผลลัพธ์ระดับมืออาชีพมากที่สุด แล้วบริการไหนล่ะที่สามารถทำได้จริง
ฉันตัดสินใจหาคำตอบโดยสมัครใช้แผนบริการเครื่องมือสร้างแต่ละรายและสร้างเว็บไซต์เต็มรูปแบบ ฉันพิจารณาในด้านประสบการณ์การใช้งาน ฟีเจอร์ที่พร้อมใช้งาน ผลงานที่ได้และทุกอย่างในระหว่างนั้น
ในด้านล่างนี้คุณจะพบเครื่องมือสร้างที่ให้บริการได้ตรงตามมาตรฐานที่เข้มงวดของฉัน ไม่ว่าคุณจะต้องการสร้างเว็บไซต์ส่วนบุคคล บล็อก เว็บไซต์สำหรับธุรกิจของคุณหรือแม้แต่ร้านค้าออนไลน์ คุณจะได้พบตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในรายการนี้อย่างแน่นอน
-
- แผนฟรีที่ดีที่สุดพร้อมคุณสมบัติมากที่สุด
- เทมเพลตกว่า 800 แบบสำหรับไซต์ทุกประเภท
- ตัวแก้ไขแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย
Wix เป็นหนึ่งในผู้สร้างเพียงรายเดียวที่ให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่คุณต้องการจริง ๆ ด้วยเครื่องมือแก้ไขแบบลากวาง คุณสามารถปรับเลย์เอาต์ เปลี่ยนสีและฟอนต์ เพิ่มลิงก์และปุ่ม และอื่น ๆ อีกมากมายได้ ต่อให้คุณมีไอเดียที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเว็บไซต์ของคุณ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์ Wix มีเทมเพลตมากกว่า 800 แบบให้เลือก ซึ่งเทมเพลตเหล่านี้จะจัดเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ 19 หมวดหมู่และหมวดหมู่ย่อยมากกว่า 70 หมวดหมู่
พูดง่าย ๆ ก็คือWix มีเทมเพลตสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท คุณไม่จำเป็นต้องใช้เทมเพลตที่กำหนดไว้สำหรับอุตสาหกรรมของคุณด้วยซ้ำ Wix ให้อิสระในการปรับแต่ง ทำให้ฉันสามารถเลือกดีไซน์ที่ฉันชอบและปรับให้เข้ากับความต้องการของฉันได้
หากคุณต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับไซต์ของคุณ Wix ก็ขอนำเสนอตลาดแอปขนาดใหญ่ที่มีส่วนขยายแอปจากทั้งของบริการเองและบุคคลที่สามมากกว่า 250 รายการ แอปจำนวนมากใช้งานได้ฟรีและคุณสามารถใช้เพิ่มสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น แบบฟอร์มติดต่อที่เรียบง่ายหรือการผสานรวมโซเชียลมีเดียกับฟังก์ชันขั้นสูง เช่น ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ หรือการผสานรวมสำหรับฟีดพอดคาสต์และไลฟ์สตรีม
ทั้งหมดนี้อาจทำให้ดูเหมือนว่า Wix เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง Wix นั้นใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้นาน และด้วยแผนบริการฟรี คุณจะสามารถทดลองใช้และเผยแพร่เว็บไซต์ของคุณได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว
ข้อเสียอย่างหนึ่งก็คือ มันมีฟีเจอร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการสร้างเว็บไซต์ของฉัน แต่ไม่ใช่เพราะมันใช้งานยาก มันเป็นเพราะมันมีอะไรให้สำรวจมากมาย และฉันก็สนุกไปกับการใช้งาน แล้วมีบริการที่เรียบง่ายกว่านี้ไหม แน่นอน แต่ไม่มีอะไรที่เหมือนกับ Wix อีกแล้ว
-
- เทมเพลตที่ออกแบบอย่างมืออาชีพ
- ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับศิลปินและนักสร้างสรรค์
- คุณสมบัติอีคอมเมิร์ซที่ยอดเยี่ยม
Squarespace เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่สวยงาม ทั้งในเว็บไซต์ที่สร้างและในส่วนอินเตอร์เฟส มันคล้ายกับ WordPress.com มาก โดยมีเครื่องมือแก้ไขบล็อกและมีเลย์เอาต์การนำทางที่คล้ายกันระหว่างหน้าและในด้านการออกแบบอื่น ๆ อย่างไรก็ตามฉันพบว่าประสบการณ์ในการสร้างเว็บไซต์ใน Squarespace นั้นราบรื่นกว่า Wix โดยทุกอย่างเชื่อมต่อกับอินเทอร์เฟซมากขึ้น
ในขณะที่เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ส่วนใหญ่เน้นด้านเนื้อหาหรืออีคอมเมิร์ซมากขึ้น Squarespace สามารถให้บริการทั้งคู่ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับร้านค้า e-commerce ทุกขนาดที่ต้องการจุดเด่นในด้านบล็อกของพวกเขา (คุณสามารถทำสิ่งนี้กับเครื่องมือสร้างอื่น ๆ ได้เช่นกัน แต่ Squarespace มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่แข็งแกร่งสำหรับทั้งคู่ ในระดับที่สูงกว่า Wix)
Squarespace ไม่มีแผนบริการฟรี (แม้ว่าพวกเขาจะนำเสนอการทดลองใช้ฟรี 14 วัน) แต่คุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ที่สำคัญส่วนใหญ่ในแผนระดับล่าง ซึ่งมีการเปรียบเทียบราคากับเครื่องมือสร้างรายอื่น ๆ ในรายการนี้
-
SITE123 นั้นเป็นนั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างที่ใช้งานได้ง่ายที่สุด (แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าคุณสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ เหมือนนับ หนึ่ง… สอง… สาม พอเข้าใจอยู่ใช่ไหม) ตัวเลือกนี้เป็นทางเลือกที่เหมาะหากคุณเพิ่งเคยสร้างเว็บไซต์ เครื่องมือสร้างนี้มีเทมเพลตที่ตอบสนองต่ออุปกรณ์มือถือมากกว่า 180 แบบให้เลือกและมีแอปที่จะช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานให้กับเว็บไซต์ของคุณอีกมากมาย
เครื่องมือแก้ไขของ SITE123 เป็นแบบชี้และคลิก หมายความว่าคุณเพียงแค่คลิกไปที่ปุ่มต่าง ๆ และเครื่องมือจะออกแบบเว็บไซต์ของคุณภายในเฟรมเวิร์กที่กำหนด แทนที่จะต้องมาปรับแต่ละองค์ประกอบเอง คุณแค่ต้องเพิ่มและจัดลำดับส่วนต่างๆ เช่น ข้อความ แกลเลอรีสื่อและข้อมูลการติดต่อเองเท่านั้น เครื่องมือแก้ไขแบบนี้ช่วยให้แน่ใจว่าการดีไซน์ของคุณจะสอดคล้องกันอยู่เสมอ
แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเรียนรู้สักนิดนึง (โดยเฉพาะถ้าคุณชินกับเครื่องมือแบบลากและวาง) แต่เมื่อชินแล้ว ฉันก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้เร็วพอ ๆ กับ Wix เลย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อัตโนมัติที่ยอดเยี่ยม เช่น การนำทาง (breadcrumbs), การจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ในร้านค้าออนไลน์อัตโนมัติและเครื่องมือสร้างแบบฟอร์มการติดต่อที่ทำได้ง่ายสุด ๆ ที่ทำให้กระบวนการสร้างเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก
-
- เครื่องมือแก้ไขที่ใช้งานได้ง่ายไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับการสร้างเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว
- เทมเพลตดีไซน์สวยงาม ดูเป็นมืออาชีพ
- แผนอีคอมเมิร์ซที่มีราคาไม่แพง
เครื่องมือ MyWebsite Now ของ IONOS นั้นเป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างที่ใช้งานง่ายที่สุดในรายการนี้ แทนที่จะมีฟีเจอร์เยอะแยะมากมายเหมือนเครื่องมืออื่น ๆ IONOS นำเสนอแค่สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างเว็บไซต์เท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ได้เหมาะความว่าเว็บไซต์ IONOS ของคุณจะดู “ธรรมดา” หรือขาดฟังก์ชั่นการใช้งานใด ๆ ไป IONOS จัดการส่วนที่ยุ่งยากเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์เพื่อให้คุณมีประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายมากที่สุด การสร้างเว็บไซต์กับ IONOS นั้นทำได้รวดเร็วที่สุดที่ฉันได้ทดสอบมาเลย และยังเป็นบริการที่มีราคาถูกที่สุดอีกด้วย
ถึงบริการจะมีฟีเจอร์หรือเทมเพลตไม่มากเท่ากับบริการอื่น ๆ แต่ดีไซน์นั้นดูทันสมัยมาก ตัวเลือกในการปรับแต่งนั้นค่อนข้างจำกัด แต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเนื่องจากมันทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นดูมีความเป็นมืออาชีพ ถึงจะไม่ใช่ Squarespace แต่คุณก็สามารถสร้างเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพได้กับ IONOS
บริการไม่มีแผนสำหรับอีคอมเมิร์ซ แต่ IONOS จะนำเสนอเป็นแพ็คเกจที่คุณสามารถเพิ่มลงในแผนในก็ได้ ตัวเลือกนี้ยังทำให้ IONOS เป็นหนึ่งในบริการที่มีตัวเลือกอีคอมเมิร์ซที่ถูกที่สุดอีกด้วย มันเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการร้านค้าออนไลน์ที่เรียบง่ายที่มีฟีเจอร์ที่จำเป็นครบถ้วน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 1&1IONOS เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อั
เยี่ยมชม 1&1IONOS เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อั > อ่านรีวิว 1&1IONOS เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อั ของเรา -
WordPress.org เป็นยักษ์ใหญ่รุ่นเก๋าด้านการจัดการเนื้อหาและการสร้างเว็บไซต์ คำว่ารุ่นเก๋านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเลิกให้บริการไปแล้ว เว็บประมาณหนึ่งในสามบนอินเทอร์เน็ตยังคงสร้างจาก WordPress โชคดีที่ WordPress.com ทำให้ประสบการณ์ใช้งาน WordPress นั้นง่ายสำหรับทุกคน คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการโฮสต์หรือการพัฒนาเว็บก็สามารถใช้บริการนี้ได้
WordPress.com เป็นเครื่องมือสร้างเว็บ WordPress ที่ให้คุณสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ทั้งหมดของ WordPress ได้ แต่ว่าแม้แต่ “เครื่องมือสร้างเว็บที่ใช้งานได้ง่ายที่สุด” ก็ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างปลั๊กอินและเทมเพลตพรีเมี่ยมนั้นสามารถเข้าถึงได้ผ่านแผน Pro เท่านั้น
WordPress.com มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ คุณสามารถขยายเว็บได้อย่างไร้ข้อจำกัด ดังนั้นการใช้งานเครื่องมือนี้อาจจะไม่ง่ายหรือมีราคาต่ำเหมือนบริการอื่น ๆ
เครื่องมือแก้ไขบล็อกของ WordPress.com นั้นยังเป็นบริการที่ค่อนข้างใหม่ แต่มันก็ช่วยให้การสร้างเว็บบน WordPress นั้นทำได้ง่ายและช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจการใช้งานได้ง่ายมากขึ้นกว่าวิธีเก่า เครื่องมือแก้ไขใหม่นี้ใช้บล็อกในการเพิ่มและแก้ไขเลย์เอาท์หน้าเพจ มันใช้งานได้ค่อนข้างง่ายก็จริง แต่ก็มีรายละเอียดจุกจิก มีหลายครั้งด้วยกันที่ต้องแก้ไขส่วนต่าง ๆ ในหน้าเพจใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารำคาญพอสมควร
-
- ใช้งานง่ายเป็นที่สุด พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ AI สุดเจ๋ง
- มากกว่า 140 เทมเพลตที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี
- มีนักออกแบบสูงด้านการออกแบบ และมีฟังก์ชันตารางที่ใช้งานง่าย
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ Hostinger นั้นเป็นอีกตัวเลือกที่เหมาะสำหรับมือใหม่ ผู้ที่กำลังมองหาอะไรที่เร็วและง่าย แทนที่จะทำให้คุณสับสนด้วยฟีเจอร์เฉพาะต่าง ๆ ที่เยอะเกินไป Hostinger จะเน้นไปที่เครื่องมือจำเป็นซึ่งใช้งานง่ายและถูกสร้างมาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่ดูดีและเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แถมราคาก็ยังไม่แพงอีกด้วย และคุณก็สามารถรับโดเมนฟรีได้ในปีแรกของแพลนรายปีทั้งหมด
นอกจากนั้นแล้ว Hostinger ยังเป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานที่สุด ในรายการนี้อีกด้วย นอกจากจะมีโปรแกรมแบบตารางและฟีเจอร์การปรับขนาดคืนที่ใช้งานง่ายแล้ว Hostinger ก็ยังมีเครื่อง AI (ปัญญาประดิษฐ์) อีกมากมายที่จะช่วยคุณสร้างชื่อธุรกิจ, โลโก้, แท็กไลน์ รวมถึงข้อความสำหรับเว็บไซต์ของคุณด้วย
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่มีสิทธิ์ควบคุมผลงานความคิดสร้างสรรค์บนเว็บเลย (อันที่จริง เราแนะนำให้ใช้เนื้อหาที่ AI สร้างเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขเนื้อหาเพิ่มเท่านั้น) ด้วยโปรแกรมของ Hostinger คุณจะสามารถปรับแต่งเลย์เอาต์ของเว็บไซต์ เปลี่ยนสีและฟอนต์ ปรับปุ่ม เพิ่มและจัดลำดับบล็อก และอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสียของ Hostinger ก็คือมันมีตัวเลือกการปรับขนาดไม่เยอะเท่าที่ควร เว็บไซต์ที่ดูเรียบง่ายนั้นอาจจะเหมาะสำหรับตอนที่คุณพึ่งเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้าคุณต้องการขยายไปใช้อะไรที่เปิดกว้างด้านความคิดสร้างสรรค์มากกว่า และมีฟีเจอร์ขั้นสูงมากกว่า Hostinger นั้นจะค่อนข้างถูกจำกัดด้านการใช้งานแบบบูรณาการ และการที่มันไม่มี app market ก็อาจจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญได้
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hostinger Website Builder
เยี่ยมชม Hostinger Website Builder > อ่านรีวิว Hostinger Website Builder ของเรา -
Webnode เป็นเครื่องมือสร้างธรรมดา ๆ ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เทมเพลตนั้นเรียบง่ายแต่สวยงาม มีฟีเจอร์ที่สำคัญนำเสนอ แต่ไม่มีอะไรโดดเด่น การใช้งานทำได้ง่าย แต่อาจมีบางจุดที่หงุดหงิด
Webnode เป็นเครื่องมือสร้างที่ใช้งานได้ค่อนข้างดี (ฉันเคยเจอบริการที่แย่กว่านี้มาแล้ว) แต่ก็ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงซักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ Webnode มาอยู่ในรายการนี้ได้ก็คือฟีเจอร์ที่หาไม่ได้ในบริการอื่น อย่างเช่น การสนับสนุนเว็บในหลายภาษาและการตั้งค่า SEO ที่ละเอียด
การใช้งาน Webnode จะคุ้มค่ามากหากคุณต้องการสิ่งที่บริการนี้นำเสนออย่างการสนับสนุนเว็บในหลายภาษา ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถคัดลอกโครงสร้างเว็บไซต์เดิมของคุณ เพื่อแปลเป็นภาษาอื่น ๆ แต่หากคุณไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ข้อจำกัดในการปรับแต่งของ Webnode อาจทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะสำหรับบล็อกหรือร้านค้าทั่วไปสักเท่าไหร่
-
- เหมาะสำหรับการจัดการผลิตภัณฑ์ในปริมาณมาก
- เทมเพลตรูปภาพเคลื่อนไหวที่สวยงาม
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมออนไลน์
Volusion เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างหน้าร้านออนไลน์ที่แข็งแกร่ง: คุณสมบัติส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์ออนไลน์ พวกเขานำเสนอฟีเจอร์มากมายและใช้งานง่ายช่วยให้คุณสามารถแก้ไขผลิตภัณฑ์ติดตามสินค้าคงคลังคำสั่งซื้อและลูกค้าและอีกมากมายได้
เครื่องมือแก้ไขเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นเครื่องมือสร้างเว็บอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานง่ายที่สุดในรายการนี้ มันมาพร้อมตัวเลือกมากมายสำหรับสี แบบอักษรและโครงร่างเนื้อหาในรูปแบบบล็อก อย่างไรก็ตามมันมีข้อจำกัดที่น่ารำคาญอยู่ ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่มีบล็อกฟอร์มการติดต่อ (หากคุณต้องการแบบฟอร์มการติดต่อในเว็บไซต์ของคุณ คุณต้องเพิ่มใน HTML) ถึงกระนั้น Volusion ก็ยังเป็นผู้ชนะที่ชัดเจน หากจุดประสงค์ของเว็บไซต์ของคุณคือการขายและติดตามสินค้าจำนวนมากได้อย่างสวยงามและมีประสิทธิภาพ
-
- ทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อขายออนไลน์
- ทดลองใช้งานฟรี 14 วัน (ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต)
- ธีมอีคอมเมิร์ซระดับมืออาชีพมากมาย
Shopify เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมหากคุณมองหาบริการที่สามารถช่วยจัดการการขายของคุณได้ บริการนำเสนอการผสานการใช้งานกับเครื่องมือสร้างอื่น ๆ อย่าง Wix หรือ WordPress และแม้แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Instagram นั่นหมายความว่าคุณสามารถขายผลิตภัณฑ์ของคุณได้ในหลายแพลตฟอร์มและสามารถติดตามสินค้าคงคลังของคุณไปพร้อม ๆ กันได้ คุณสามารถย้ายผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไปยังแพลตฟอร์มที่คุณต้องการเมื่อไหร่ก็ได้
หากคุณต้องการร้านค้าออนไลน์ Shopify เป็นเครื่องมือสร้างที่มีฟีเจอร์ครบถ้วนและมีตลาดแอปที่มีแอปมากมายที่จะช่วยเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานให้กับเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้เครื่องมืออีคอมเมิร์ซของ Shopify ยังไม่มีใครเทียบได้อีกด้วย
Shopify มีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซมากมาย ตั้งแต่การแจ้งเตือนละทิ้งรถเข็น การคำนวนค่าจัดส่งอัตโนมัติและการวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อช่วยให้คุณสามารถติดตามการขายของคุณได้
ถึงแม้ว่าการเพิ่มสินค้าลงในร้านค้ายังสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่การสร้างร้านค้านั้นอาจไม่ง่ายเท่าไหร่ เครื่องมือแก้ไขหน้าแรกนั้นแตกต่างจากเครื่องมือแก้ไขสำหรับหน้าอื่น ๆ มันอาจทำให้เกิดความสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว และรู้สึกประหลาดใจผลลัพธ์อย่างมาก
-
- เหมาะสำหรับร้านค้าปลีกออนไลน์ขนาดใหญ่หรือ Dropshipper
- ชุดฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ที่เหมาะกับร้านค้าออนไลน์ทุกประเภท
- เครื่องมือทางการตลาดที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนยอดขาย
ฉันต้องขอบอกก่อนว่า BigCommerce นั้นไม่เหมาะกับผู้ใช้เริ่มต้น ถ้าคุณต้องการใช้บริการนี้จริง ๆ คุณต้องใช้เวลานานพอสมควรไปกับการเรียนรู้การใช้งานอินเตอร์เฟสและฟีเจอร์ต่าง ๆ
แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อเสียซะทีเดียว เวลาที่คุณเสียไปกับการเรียนรู้จะกลายเป็นเว็บร้านค้าอนนไลน์ดีที่ได้อย่างแน่นอน นั่นเพราะว่า BigCommerce นำเสนอฟีเจอร์ร้านค้าออนไลน์มากมาย มากกว่าบริการอื่น ๆ ในรายการนี้
BigCommerce มีทุกอย่างที่คุณต้องการสำหรับร้านค้าออนไลน์ รวมไปถึงการจัดการสินค้าคงคลัง การผสานการชำระเงิน โค้ดส่วนลดและคูปอง ตัวเลือกการจัดส่งและการแจ้งเตือนการทิ้งรถเข็น และยังมีฟีเจอร์ขั้นสูงอื่น ๆ อีก เช่น บัญชีหนักงาน เว็บที่รองรับหลายภาษา การผสานการขายของบุคคลที่สามและอื่น ๆ อีกมากมาย
ตัวเลือกฟีเจอร์มากมายเหล่านี้ก็ทำให้เข้าใจได้แล้วว่า BigCommerce นั้นถูกสร้างมาเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างร้านค้าออนไลน์ สำหรับผู้ใช้ที่คาดว่าร้านค้าอาจมีการขยับขยายในภายหลัง แต่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่อย่าง (หรือต้องการเว็บไซต์ที่มีการผสานฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ) ก็ควรใช้เครื่องสร้างสารพัดประโยชน์อย่าง Wix หรือ Squarespace จะดีกว่า
สิ่งที่ฉันมองหาในเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุด
ความง่ายในการใช้งาน
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรใช้งานได้ง่าย มีความชัดเจนและใช้งานได้สนุก เครื่องมือส่วนใหญ่มีคำแนะนำ “การเริ่มต้นใช้งาน” เมื่อดูคำแนะนำเหล่านี้หมดแล้ว เครื่องมือต่าง ๆ ก็ควรอยู่ในที่ที่หาได้ง่ายและผู้ใช้ไม่ควรใช้เวลาเรียนรู้การใช้งานมากจนเกินไป การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ควรทำได้ง่าย ตัวเลือกการปรับแต่งเองก็ควรอยู่ในที่ที่เห็นได้ง่าย นอกจากนี้ควรมีตัวเลือกการช่วยเหลือที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพและควรให้คำตอบได้ทันท่วงที และคะแนนโบนัสหากเครื่องมือสร้างสามารถบันทึกงานของคุณได้โดยอัตโนมัติและแจ้งให้คุณทราบเมื่อทำขั้นตอนที่สำคัญ เช่น การเผยแพร่เว็บไซต์หรือการเชื่อมต่อโดเมนความยืดหยุ่นของการออกแบบ
หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นไม่เหมือนเวอร์ชันอื่น ๆ ที่ผู้เยี่ยมชมเคยเห็นมาก่อนเป็นร้อย ๆ ครั้ง เครื่องมือควรมีเทมเพลตให้เลือกหลายแบบ (อย่างเช่น Wix ที่มีเทมเพลตให้เลือกมากกว่า 800 แบบ) และควรให้อิสระในการปรับแต่งเพื่อให้เว็บของคุณมีเอกลักษ์และดูแตกต่างจากเว็บอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรมี:- เทมเพลตเริ่มต้นมากมายให้เลือก
- การควบคุมธีมสีอย่างสมบูรณ์
- แบบอักษรหลากหลาย
- ตัวเลือกมากมายสำหรับเลย์เอาท์หน้าเพจและ/หรือบล็อก
การกำหนดราคา
เกณฑ์นี้ไม่ได้เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายโดยรวม แต่มันหมายถึงความคุ้มค่า เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อาจมีแผนราคาถูก แต่ถ้าแผนที่มีราคาแพงที่สุดมีฟีเจอร์เพียงครึ่งเดียวของแผนพื้นฐานของเครื่องมือสร้างอื่น ๆ มันคงไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจเท่าไหร่ เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่คุ้มค่าจะนำเสนอฟีเจอร์ที่มากที่สุดในราคาที่ถูกที่สุด บริการอาจมีแผนให้เลือกหลากหลาย ให้คุณปรับแต่งตามความต้องการของคุณ ยกตัวอย่างเช่น Squarespace อาจไม่ได้เป็นเครื่องมือสร้างที่ถูกที่สุด แต่เนื่องจากพวกเขานำเสนอฟีเจอร์ที่หลากหลาย ฉันจึงคิดว่ามันคุ้มค่า คุณสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูแผนล่าสุด บ่อยครั้งที่ (แต่ไม่เสมอไป) แผนระดับที่สูงขึ้นนำเสนอหนึ่งในสองสิ่ง: นำเสนอแบนด์วิดท์และพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากขึ้นหรือการเข้าถึงคุณลักษณะอีคอมเมิร์ซขั้นสูง หากคุณรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณต้องการอะไร มันจะช่วยให้คุณประเมินมูลค่าของแผนเหล่านี้ได้ดีขึ้นเมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
ในขณะที่เกณฑ์ที่ระบุไว้ข้างต้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการประเมินเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ แต่ก็มีฟีเจอร์โบนัสบางอย่างที่ทำให้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์เหล่านั้นโดดเด่นเหนือผู้อื่น สิ่งเหล่นี้อาจไม่ได้ทำให้มันเป็นเครื่องมือสร้างที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อรวมกับฟีเจอร์ที่แข็งแกร่งอื่น ๆ จึงทำให้มันเป็นเครื่องมือสร้างเหล่านี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมเหล่านี้จะต้องมีประโยชน์จริง ๆ – ไม่ใช่แค่บอกว่ามันเป็นฟีเจอร์ที่ดี นี่คือสิ่งอื่น ๆ ที่ฉันมองหา:- ความสามารถด้าน SEO: เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ส่วนใหญ่ช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพแท็ก ชื่อและคำอธิบาย meta แต่เครื่องมือที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคเพิ่มเติมเช่นไฟล์txt หรือแผนผังเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัตินั้นจะมีประโยชน์อย่างมาก
- แอพพลิเคชั่นและการผสานรวมที่หลากหลาย: มีไว้เพื่อเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่าการออกแบบ เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรนำเสนอความสามารถที่คุณต้องการ โดยการผสานรวมกับเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่คุณใช้อยู่แล้วเช่น MailChimp สำหรับแคมเปญอีเมล
- ฟีเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง: เครื่องมือสร้างบางอย่างมีฟีเจอร์ที่โดดเด่นและไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นได้ สิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในผลลัพธ์สำหรับเครื่องมือสร้างแต่ละตัว
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ปกติที่มาพร้อมกับคุณสมบัติอีคอมเมิร์ซ
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ อย่างเช่นสามรายการสุดท้ายในรายการของเราเน้นไปที่ความสามารถของร้านค้าออนไลน์ที่มีให้เกือบทั้งหมด ฟีเจอร์ร้านค้าออนไลน์ของพวกเขานั้นเหนือกว่าเครื่องมือในเครือมือสร้างเว็บไซต์ทั่วไป แต่คุณจะพบว่าการสร้างเว็บไซต์ในเกือบทุกด้านนั้นกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก (ตัวอย่างเช่นไม่สามารถสร้างแบบฟอร์มการติดต่อใน Volusion ได้) เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ปกติที่มีความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซให้คุณสมบัติเหล่านี้เป็นบริการเสริมมากกว่าบริการหลัก – แม้ว่าเครื่องมือสร้าง “ปกติ” บางราย เช่น Squarespace ได้เริ่มเสนอฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซที่น่าประทับใจมาก ด้วยฟีเจอร์เหล่านี้คุณสามารถสร้างบล็อก ชุดหน้าแลนดิ้งเพจและรูปภาพหรือวิดีโอจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทของเครื่องมือสร้างที่คุณควรเลือกนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลักของเว็บไซต์ของคุณ หากเป้าหมายหลักของคุณคือการขายสินค้า เครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซสามารถให้ตัวเลือกการชำระเงินพิเศษ ให้คุณอัปโหลดและจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นและบางครั้งก็ให้ตัวเลือกการจัดส่ง คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่เพื่อใช้ประโยชน์จากหนึ่งในเครื่องมือสร้างเว็บไซต์เหล่านี้ – ผู้ขาย Etsy และร้านค้าหรือร้านบูติกท้องถิ่นอาจมีได้เปรียบมากมายกับเครื่องมือสร้างเหล่านี้ แต่ถ้าคุณให้บริการบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัว เช่น พอร์ตโฟลิโอ โดยมีเป้าหมายในการขายผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่อย่าง เช่น หนังสือหรือหลักสูตรออนไลน์ เครื่องมือสร้างทั่วไปที่มีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซจะให้สิ่งที่คุณต้องการได้มากขึ้น ในขณะที่ยังคงให้บริการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างดีเยี่ยม เครื่องมือสร้างเว็บอีคอมเมิร์ซหลายรายนำเสนอการบูรณาการบางอย่างกับแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อื่นๆดังนั้นเว็บไซต์ของคุณสามารถรวมสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองเข้าด้วยกัน หากคุณเน้นการค้าปลีกเป็นหลัก แต่ต้องการขยายเว็บไซต์ของคุณไปยังบล็อกหรือเนื้อหาอื่น ๆ การผสมผสานเหล่านี้อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกระบวนการทดสอบ
ในการทดสอบเครื่องมือสร้างเว็บไซต์เหล่านี้ ฉันเริ่มต้นด้วยเว็บไซต์ทั่วไปที่จะมีคุณสมบัติที่ครอบคลุมถึงสิ่งที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่ต้องการ ทุกเว็บไซต์ที่ฉันสร้างขึ้นต้องมี:- หน้าข้อความคงที่ (หน้าเกี่ยวกับเว็บไซต์)
- ข้อความบล็อก
- คลังรูปภาพ
- ปฏิทินหรือหน้ากิจกรรม
- หน้าการติดต่อ
- ร้านค้าออนไลน์
- การเปลี่ยนสีและรูปแบบตัวอักษร
- การเพิ่มรูปภาพ
- การฝังวิดีโอ
- การสร้างแบบฟอร์มผู้ติดต่อ
- การเพิ่มปุ่ม
- การเปลี่ยนแปลงเมนู
- การอัปเดตตัวหนังสือทางเลือก
- การทดสอบลักษณะเฉพาะ SEO
ผลลัพธ์โดยละเอียด: ประสิทธิภาพของเครื่องมือสร้างแต่ละตัว
ตอนนี้ได้เวลาสนุกแล้ว: ผลลัพธ์ที่แท้จริงจากการทดสอบการสร้างเว็บไซต์ที่ฉันลงมือทำ ฉันได้ทำการวิเคราะห์โดยละเอียดจากประสบการณ์ของฉัน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์แต่ละอันด้านล่าง ให้คะแนนตามเกณฑ์ด้านบน แต่ก่อนอื่นนี่คือตารางเปรียบเทียบฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดบางอย่าง ฉันใช้ PageSpeed Insights ของ Google เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องมือสร้างรายใดที่สร้างเว็บไซต์ที่ดูสวยงามและได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการโหลดอย่างรวดเร็ว ฉันทดสอบเว็บไซต์ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ คะแนนที่คุณเห็นอยู่ระหว่าง 1-100 โดย 100 เป็นคะแนนสูงสุดแผนใช้งานฟรี | เทมเพลต | การตอบสนองบนมือถือ | แอพพลิเคชั่นที่มีให้ | เวลาที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ของฉัน | คะแนนเชิงลึกของ Google Page Speed (เดสก์ท็อป / มือถือ) | ชื่อโดเมนฟรีในแผนการชำระเงิน | SSL ฟรี | |
Wix | ✔ | 800+ | ✘ | 300+ | 90 นาที | 65/23 | ✔ | ✔ |
Squarespace | ✘ | 140+ | ✔ | 30+ | 50 นาที | 95/43 | ✔ | ✔ |
SITE123 | ✔ | 180+ | ✔ | 80+ | 60 นาที | 94/48 | ✔ | ✔ |
IONOS | ✘ | 18 | ✔ | ไม่มี | 30 นาที | 91/88 | สำหรับหนึ่งปี | ✔ |
WordPress.com | ✔ | เทมเพลตบุคคลที่สามกว่า 140+ รายการ | ✔ | นับพัน | 75 นาที | 99/88 | ✔ | ✔ |
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ Hostinger | ✘ | 140+ | ✔ | ไม่มี | 30 นาที | 50/29 | เฉพาะแผน 3 อันดับแรกเท่านั้น | ✔ |
Webnode | ✔ | 110+ | ✔ | ไม่มี | 35 นาที | 97/75 | ✔ | ✘ |
Volusion | ✘ | 14 | บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด | 14 | 75 นาที | 100/85 | ✘ | ✔ |
Shopify | ✘ | 70+ | ✔ | 4000+ | 45 นาที | 99/63 | ✘ | ✔ |
BigCommerce | ✘ | 190+ | ✔ | 1000+ | 75 นาที | 89/78 | ✘ | ✔ |
#1 Wix – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุดโดยรวม

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 10/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 10/10 |
การกำหนดราคา | 9/10 |
เทมเพลทที่ใช้งานได้ | 800+ |
แอพพลิเคชั่นที่มีให้ | ฟรี 55 จากทั้งหมด 300 |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ใช่ / ไม่ |

ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
แน่นอนว่า Wix ให้คุณแก้ไของค์ประกอบทุกส่วนในเว็บไซต์ของคุณเพื่อปรับแต่งตามที่คุณต้องการได้ มีตัวเลือกมากมายสำหรับสี ตัวอักษร บล็อกและเลย์เอาต์และคุณสามารถบันทึกจานสีและชุดรูปแบบตัวอักษรได้อย่างง่ายดายสำหรับแอพพลิเคชันทั่วทั้งไซต์
การกำหนดราคา
แผนฟรีของ Wix ให้ตัวเลือกมากมายในการปรับแต่งด้วยการเข้าถึงเทมเพลตกว่า 900+ แบบและแอพพลิเคชั่นให้เลือกมากมาย คุณจะต้องอัปเกรดเป็นแผนธุรกิจหากคุณต้องการเชื่อมต่อโดเมนที่กำหนดเองยอมรับการชำระเงินออนไลน์และผสานการใช้งานเข้ากับ Google Analytics แม้ว่าจะมีแผนแตกต่างกันแปดแผน แบ่งเป็นส่วนบุคคลและธุรกิจ/อีคอมเมิร์ซ แต่มันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละแผน แผนระดับที่สูงขึ้นเป็นราคาที่สูงขึ้นสำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การสนับสนุนระดับ VIP”ฟีเจอร์อื่นๆ
มีบางสิ่งเกี่ยวกับ Wix ที่ฉันชอบ:- ร้านค้าออนไลน์: อินเทอร์เฟซ Wix Store นั้นใช้งานง่าย พวกเขาให้คำแนะนำคุณในทุกขั้นตอนของการเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์ ตัวเลือกการจัดส่งและการชำระเงินและอื่น ๆ
- ตัวเลือก SEO ขั้นสูง: นอกเหนือจาก Wix SEO Wiz การตั้งค่า SEO ขั้นสูงนั้นมีตัวเลือกสำหรับโครงสร้างข้อมูล, canonical URL และแท็ก meta ที่กำหนดเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ Google เข้าใจไซต์ของคุณได้ดีขึ้นในทางเทคนิค โดยที่คุณไม่ต้องทำงานที่ซับซ้อนด้านเทคนิค นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่าหน้า AMP เพื่อให้สามารถใช้งานบนมือถือได้เร็วขึ้น
- ศูนย์สนับสนุน: ถึงแม้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องใช้งานศูนย์ช่วยเหลือ แต่ฉันตรวจสอบแล้วและพวกเขามีบทความแนะนำมากมายเพื่อตอบคำถามใด ๆ ที่คุณอาจมี
#2 Squarespace – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับการออกแบบ

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 8/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 8/10 |
การกำหนดราคา | 6/10 |
จำนวนเทมเพลต | 140+ |
จำนวนแอพพลิเคชั่น | 30+ |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
Squarespace เป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ไขบล็อกที่ใช้งานง่าย เป็นการผสานรวมระหว่าง Wix และ WordPress.com การย้ายระหว่างเครื่องมือแก้ไขบล็อกต่างๆนั้นสามารถทำได้อย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกว่า WordPress.com และสามารถทุกสิ่งได้อย่างง่ายดาย
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
Squarespace มีเทมเพลตที่มีการที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมและมันมีความใกล้เคียงกับธีมของ WordPress.com ในแง่ของความยืดหยุ่นในการออกแบบ คุณไม่สามารถเปลี่ยนสีในทุกที่ได้เหมือนอย่างที่คุณทำได้บน Wix และคุณมีข้อจำกัดบนเครื่องมือแก้ไขบล็อก แต่โดยรวมคุณสามารถปรับแต่งได้มากมายและมันก็สร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกสิ่งที่คุณทำดูน่าสนใจ หนึ่งในฟีเจอร์การออกแบบที่ฉันชอบคือตัวเลือกจานสี ที่คุณเลือกสามสีพื้นฐานเพื่อให้ตรงกับเว็บไซต์ของคุณและ Squarespace สร้างชุดรูปแบบสีที่กว้างขึ้นเพื่อใช้ในส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์ นี่คือจานสีสำหรับเว็บไซต์ทดสอบของ Squarespace:

การกำหนดราคา
Squarespace ไม่มีแผนบริการฟรี แต่คุณจะได้รับฟีเจอร์มากมายแม้ในระดับที่ต่ำกว่า คุณสามารถทดสอบด้วยการทดลองใช้ฟรี 14 วัน ก่อนที่จะซื้อแผนชำระเงิน เมื่อคุณอัพเกรดแผนราคาขึ้น คุณจะได้รับฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซขั้นสูงด้วย ดังนั้นบล็อกและร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กจึงสามารถใช้ Squarespace ได้อย่างคุ้มค่า โดยทั่วไปแล้วแผนอีคอมเมิร์ซขั้นสูงนั้นมีราคาที่ถูกกว่าของเครื่องมือสร้างเว็บอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ โดยรวมดูเหมือนว่า Squarespace มุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าคุณมีเว็บไซต์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และแผนการฟรีสามารถให้คุณได้รับประสบการณ์และมีเว็บไซต์ที่ดีที่สุดฟีเจอร์อื่นๆ
จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของ Squarespace คือการออกแบบ แต่มีจุดอื่นอีกสองสามอย่างที่คุณควรทราบ:- ร้านค้าออนไลน์: การเพิ่มผลิตภัณฑ์นั้นทำได้ยากกว่าการตั้งค่าร้านค้าในเครื่องมือสร้างไซต์ปกติเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ต่างจากเครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ หลังจากทดสอบเครื่องมือสร้างเหล่านี้และเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับร้านค้าออนไลน์ ฉันสังเกตเห็นว่าฟังก์ชั่นอีคอมเมิร์ซที่มีความทันสมัยและมีความสามารถนั้นจะต้องใช้เวลาเรียนรู้ค่อนข้างมาก และ Squarespace ก็เช่นกัน
- แคมเปญอีเมลภายในตัว: เมื่อคุณเผยแพร่โพสต์ คุณสามารถเริ่มสร้างแคมเปญอีเมลด้วยฟีเจอร์อีเมลโดยตรงจากโพสต์ นี่เป็นความสามารถทางอีเมลแบบครบวงจรที่ใช้งานได้ง่ายที่สุด – คุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มการผสานรวมหรือส่วนขยายใด ๆ เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์นี้
- คุณสมบัติการตลาดอื่นๆ : คุณสมบัติ SEO นั้นค่อนข้างเป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ แต่ก็มีคุณสมบัติทางการตลาดอื่น ๆ ที่โดดเด่นรวมอยู่ด้วย มีการผสานรวมโดยตรงกับ Instagram, Facebook และ Pinterest และแม้แต่เครื่องมือสร้าง URL เพื่อช่วยคุณติดตามแคมเปญที่ต้องชำระเงิน
#3 SITE123 – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 8/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 7/10 |
การกำหนดราคา | 8/10 |
จำนวนเทมเพลต | 180+ |
จำนวนแอพพลิเคชั่น | 80+ |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
เครื่องมือแก้ไขของ SITE123 นั้นใช้งานง่ายและสามารถปรับเปลี่ยนหน้าเว็บของคุณได้ง่าย … หากคุณรู้ว่ามันทำงานอย่างไร เว็บไซต์ของฉันเริ่มต้นเป็นเว็บไซต์หน้าเดียวและฉันใช้เวลา 20 นาทีในการหาว่าเมื่อคุณเพิ่มบล็อก คุณต้องปรับการตั้งค่าไม่ให้มันปรากฏในหน้าแรก แต่ต้องอยู่ในเมนูการนำทาง เมื่อฉันชินแล้ว การสร้างเว็บทดลองกับ SITE123 ก็ทำได้ค่อนข้างเร็ว ฉันสร้างเว็บทั้งหมดได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง (รวม 20 นาทีในการแก้ปัญหา)
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
คุณไม่สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณได้อย่างอิสระบน SITE123 ได้เหมือนที่คุณทำได้บน Wix แต่คุณยังสามารถปรับแต่งค่าได้มากมาย มีเทมเพลตการออกแบบมากกว่า 180 รายการรวมถึงเลย์เอาท์หน้าเพจ 14 หมวดหมู่ รวมถึง ข้อความ แกลเลอรี ภาพกิจกรรมและแม้แต่การจองร้านอาหาร ประเภทหน้าเพจเหล่านี้สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้โดยการเพิ่มบล็อก แต่คุณมีข้อจำกัดบางอย่างตามรูปแบบที่คุณเลือก ตัวอย่างเช่น ฉันเลือกเทมเพลตหน้าเกี่ยวกับเว็บไซต์ แต่ไม่สามารถฝังวิดีโอได้ตามที่ต้องการ ฉันถามฝ่ายสนับสนุนผ่านไลฟ์แชทและได้รับแจ้งว่าการฝังวิดีโออนุญาตเฉพาะในบางประเภทหน้าเว็บ:

การกำหนดราคา
SITE123 ยังมีแผนฟรีที่ใช้งานได้ดีและแผนระดับพรีเมี่ยมที่ต่ำที่สุดจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลที่มากขึ้น มีชื่อโดเมนฟรีและมีความสามารถด้านอีคอมเมิร์ซ คุณจะมีตัวเลือกการปรับแต่งที่มากขึ้น หากคุณต้องการอิสระในการออกแบบมากขึ้น เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับบล็อกและธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากฟีเจอร์อื่นๆ
SITE123 ไม่มีฟีเจอร์พิเศษอะไรมากมาย แต่มันครอบคลุมพื้นฐานที่เครื่องมือสร้างไซต์ส่วนใหญ่นำเสนอและในวิธีการใช้งานที่ง่ายกว่าแบบอื่น ๆ นี่คือบางส่วน:- SEO: คุณสามารถเพิ่มแท็ก ชื่อคำอธิบาย meta และข้อความแสดงรูปภาพแทนได้ แค่นี้ นอกจากนี้ยังมีช่องแท็กคำหลัก meta แต่มันค่อนข้างล้าสมัยสำหรับ SEO ดังนั้นจึงมีฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นมากกว่าฟีเจอร์ที่ใช้งานได้
- ร้านค้าออนไลน์: ร้านค้าออนไลน์นั้นค่อนข้างละเอียด ในแง่ของการเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์และมันสามารถใช้งานได้ง่ายมาก ในฐานะคนที่ไม่เคยมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซมาก่อน มันมาพร้อมกับมาเป็นประเภทหน้าเว็บในตัวในแผนพรีเมียมหรือสูงกว่า ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มอะไรเป็นพิเศษเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
- เว็บไซต์หน้าเดียว: แม้ว่าคุณสมบัตินี้จะทำให้ฉันมีปัญหามากที่สุดในตอนแรก SITE123 เป็นเครื่องมือสร้างที่ใช้ได้ง่ายที่สุดสำหรับการสร้างเว็บไซต์หน้าเดียวที่มีส่วนที่แตกต่างกันและลิงก์การนำทางอัตโนมัติทั่วทั้งหน้า เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผลงานส่วนตัวและเว็บไซต์อีเว้นท์ที่ต้องการเพียงหน้าเดียว
#4 IONOS – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น

เกณฑ์ | คะแนน/เต็ม |
ความง่ายในการใช้งาน | 9/10 |
ความยืดหยุ่นของดีไซน์ | 8/10 |
ราคา | 8/10 |
จำนวนเทมเพลต | 18 |
แอปพลิเคชั่นที่มีให้ | 0 |
ความง่ายในการใช้งาน
IONOS มีเครื่องมือสร้างเว็บไซต์สองอัน: MyWebsite Now และ MyWebsite Creator แต่เครื่องมืออันหลังนี้เน้นในการให้บริการแก่ผู้ใช้และดีไซน์เนอร์ที่มีประสบการณ์ แต่ฉันจะเน้นการรีวิวนี้ไปที่ MyWebsite Now เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับมือใหม่ และMyWebsite Now ก็ใช้งานได้ง่ายมาก ๆ การตั้งค่านั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แค่เลือกเทมเพลตและคลิกไปรอบ ๆ MyWebsite Now นั้นใช้เวลาแค่พักเดียวก็เข้าใจการทำงานของมันได้ ถ้าคุณเคยใช้เครื่องมือสร้างเว็บมาก่อน ก็จะไม่ต้องใช้เวลานานเลย แต่อย่างไรก็ตามในบางครั้งฉันก็เกิดการสับสนกับวิธีการทำงานของ IONOS เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น มีการแยกระหว่างการเพิ่มและการแก้ไของค์ประกอบต่าง ๆ คุณต้องไปที่ “Section editor” เพื่อเพิ่มบางอย่างในส่วนพื้นที่ของเว็บไซต์ (เช่น ปุ่มต่าง ๆ ) จากนั้นก็ต้องย้อนกลับเพื่อไปปรับแต่งส่วนนั้น ถ้าคุณชินกับมันแล้วมันก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยสะดวกซักเท่าไหร่
ความยืดหยุ่นของดีไซน์
เครื่องมือ MyWebsite Now มีตัวเลือกเทมเพลตมากมาย ตัวเลือกเหล่านั้นทั้งดูสวยงามสะอาดตา ทันสมัยและสามารถใช้งานได้บนมือถือ แต่ก็มีตัวเลือกไม่เยอะนัก ตอนนี้มีเพียงแค่ 18 เทมเพลตให้เลือก มีแค่ 1 เทมเพลตต่อ 1 อุตสาหกรรม ถึงจะมีตัวเลือกไม่มาก แต่มันก็สามารถปรับแต่งให้เข้ากับคุณได้ง่าย IONOS มีตัวเลือกในการปรับแต่งมากมาย คุณสามารถตั้งค่าสีและฟอนต์เพื่อใช้กับเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการสร้างสีที่กำหนดเอง รวมถึงการปรับแต่งองค์ประกอบแต่ละรายการด้วยสี ฟอนต์และระยะห่าง
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ
IONOS มีตัวเลือกให้คุณอัพเกรดเป็นเว็บอีคอมเมิร์ช และนี่เป็นหนึ่งในแผนอีคอมเมิร์ชที่ถูกที่สุด ถ้าคุณต้องการร้านค้าออนไลน์ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน นี่เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด ในเรื่องราคา เครื่องมืออีคอมเมิร์ซไม่ดีเท่ากับเครื่องมืออีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะ เหมือน Shopify หรือ BigCommerce คุณจะได้รับการจัดการสินค้าคงคลัง ตัวเลือกผลิตภัณฑ์จำนวนไม่มาก การตั้งค่าภาษีและการจัดส่ง และบล็อกเนื้อหาสำหรับการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องลงในหน้าเว็บและยังสามารถขายทั้งสินค้าดิจิทัลและสินค้าที่จับต้องได้อีกด้วย IONOS ให้คุณสามารถสร้างส่วนลดและคูปอง สร้างอีเมลแจ้งรถเข็นที่ถูกทิ้งและผสานการทำงานเพื่อขายโดยตรงจากผ่าน Facebook, Instagram, Google Shopping, eBay และ Amazon เครื่องมือสร้างบางรายในรายการนี้สงวนฟีเจอร์เหล่านี้ไว้สำหรับแผนอีคอมเมิร์ซแบบพรีเมียมเท่านั้น แต่ IONOS รวมฟีเจอร์เหล่านี้ไว้ในแผนมาตรฐานราคา
ถ้าคุณเลือก MyWebsite Now (ซึ่งเป็นตัวเลือกที่แนะนำสำหรับมือใหม่) บริการนี้มีสองแผนให้เลือก: Starter และ Online Store Starter ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการจะขายอะไร แผน Starter มาพร้อมกับเทมเพลต ตัวเลือกดีไซน์ ธีมสี โดเมนฟรีหนึ่งปีและอีเมลระดับมืออาชีพ แผน Online Store Starter นำเสนอเครื่องมือร้านค้าออนไลน์ เช่น รายการผลิตภัณฑ์ ตัวเลือกการชำระเงิน ตัวเลือกการจัดส่งและการรวบรวม เครื่องมือทางการตลาด แลการผสานรวมสำหรับการขายสินค้าของคุณผ่านโซเชียลมีเดีย บริการนำเสนอการทดลองใช้ฟรีเพื่อให้คุณทดสอบเครื่องมือได้ แต่ที่น่ารำคาญคือ IONOS นำเสนอบริการฟรีแก่ผู้ใช้ที่สมัครสมาชิกรายเดือนเท่านั้น หากคุณเลือกแผนรายปี (ซึ่งถูกกว่ามาก) คุณจะไม่ได้รับบริการฟรีหนึ่งเดือน แต่จะได้รับส่วนลดสำหรับ 12 เดือนแรกแทน แต่อย่างไรก็ตามบริการนำเสนอการรับประกันคืนเงิน 30 วัน ดังนั้นหากคุณยกเลิกบริการภายใน 30 แรก คุณก็จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องกรอกข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อสมัครสมาชิกฟีเจอร์อื่น ๆ
IONOS ไม่ได้มีฟีเจอร์นำเสนอมากเท่าไหร่ ไม่มีแอปเพิ่มเติมที่เพิ่มฟังก์ชั่นการทำงาน แต่บริการก็มีบริการพื้นฐานที่ครอบคลุม รวมถึง:- เครื่องมือ SEO: MyWebsite Now มาพร้อมกับเครื่องมือ SEO พื้นฐาน รวมถึงการตั้งชื่อเพจ คำอธิบายและรูปภาพสำหรับการแชร์บนโซเชียลมีเดีย
- Analytics: คุณสามารถติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ในตัวของ IONOS
- GDPR: แบนเนอร์คุกกี้ที่สำเร็จรูปเป็นวิธีที่ง่ายมากในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นไปตาม GDPR
- ไลบารีรูปภาพ: คุณสามารถเข้าถึงคลังภาพปลอดค่าลิขสิทธิ์มากกว่า 17,000 ภาพ เพื่อช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดีขึ้นได้ แม้ว่าคุณจะไม่มีทักษะการถ่ายภาพก็ตาม
#5 WordPress.comเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับบล็อก

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 6/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 8/10 |
การกำหนดราคา | 9/10 |
จำนวนเทมเพลต | เทมเพลตบุคคลที่สามกว่า 140+ รายการ |
จำนวนปลั๊กอิน | ~ 50K (บุคคลที่สาม) |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
เครื่องมือแก้ไขบล็อก Gutenberg ของ WordPress.com นั้นค่อนใช้งานได้ค่อนข้างง่ายหากคุณเข้าใจคอนเซปท์ของการใช้บล็อกเพื่อสร้างเลย์เอาต์ คุณสามารถ เริ่มสร้างเพจจากเทมเพลตที่มีอยู่ เพื่อปรับปรุงให้เป็นดีไซน์ในแบบของคุณและมีบล็อกหลายประเภทให้เลือก สิ่งเหล่านี้ถูกจัดหมวดหมู่ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากมายในการค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
ตัวเลือกการปรับแต่งนั้นแตกต่างกันมากและขึ้นอยู่กับธีมที่คุณเลือก ชุดรูปแบบแรกของฉันไม่ให้ฉันเปลี่ยนสีหรือแบบอักษร แต่ชุดที่สองที่ฉันเลือกอนุญาตให้ฉันแก้ไขได้มากกว่า ดูเหมือนว่าธีมที่สร้างขึ้นล่าสุดของ WordPress จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ฉันใช้ธีมที่ชื่อ Twenty Twenty สำหรับเว็บไซต์ทดสอบ WordPress ของฉัน ในขณะที่ธีมของบุคคลที่สามนั้นมีความสามารถนี้แบบขาด ๆ เกิน ๆ
การกำหนดราคา
WordPress.com มีช่วงราคาที่กว้างมาก (นอกจากนี้ยังมีแผนบริการฟรี)และมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างแต่ละแผน แผนที่ต่ำที่สุดมีราคาไม่แพงมากและเพียงพอสำหรับนักเขียนบล็อกหรือฟรีแลนซ์ที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่มีราคาต่ำ แผนธุรกิจจะสามารถเข้าถึงปลั๊กอิน ธีมที่กำหนดเองและคุณสมบัติขั้นสูงอื่น ๆ แต่ด้วยทุกสิ่งที่มีให้จึงคุ้มค่ากับราคาฟีเจอร์อื่นๆ
ปลั๊กอินประกอบไปด้วยฟีเจอร์ที่ดีที่สุดของ WordPress.com แต่ก็มีฟีเจอร์ในตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะดวกและฉันเคยไม่เห็นในเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ :- ภาพที่มาจาก Pexels และเว็บไซต์สต็อกรูปภาพอื่น ๆ จะถูกเพิ่มโดยอัตโนมัติ
- สามารถอัพโหลดวิดีโอได้โดยตรง
- ตัวเลือกการนำเข้า/ส่งออกส่วนใหญ่ระหว่างแพลตฟอร์ม
- ความเร็วในการโหลดที่เร็วที่สุดบนเดสก์ท็อปและมือถือ
#6 เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ Hostinger – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ยืดหยุ่นและเรียบง่ายที่สุด

เกณฑ์ | คะแนน/เต็ม |
ความง่ายในการใช้งาน | 6/10 |
ความยืดหยุ่นของดีไซน์ | 4/10 |
ราคา | 4/10 |
เทมเพลทที่ใช้งานได้ | 140+ |
แอปพลิเคชั่นที่มีให้ | ไม่มี |
ความง่ายในการใช้งาน
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ Hostinger นั้นใช้งานง่ายมาก ๆ ตอนที่เราเป็น “มือใหม่สำหรับ Hostinger” เราใช้เวลาแค่ไม่ถึงห้านาทีก็เริ่มเข้าใจพื้นฐานของมันแล้ว ข้อเสียหนึ่งก็คือ Hostinger จะไม่มีเช็คลิสต์สำหรับเริ่มต้นและก็ไม่มี wizard คอยแนะนำ แต่คลิก ๆ เลื่อน ๆ ไปไม่นาน คุณก็สามารถเข้าใจได้เองแล้ว ทุกอย่างนั้นเข้าใจง่ายมาก ถึงจะทราบเป็นเช่นนั้นแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก Hostinger นั้นใช้งานแตกต่างจากเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ เล็กน้อย ก็มีบางช่วงที่เราใช้แล้วรู้สึกติด ๆ อยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องปุ่ม มันไม่อยู่ในจุดที่เราคิดว่ามันควรจะอยู่…แต่นั่นน่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ก่อนหน้าของเราเอง ดังนั้นจริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเริ่มต้น เพื่อที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณนั้นง่ายยิ่งขึ้น Hostinger นั้นจะมีเครื่องมือ AI ให้ใช้งานมากมาย หากคุณรู้สึกตัน ๆ คิดอะไรไม่ออก ก็มีเครื่องสร้างชื่อธุรกิจด้วย AI มีเครื่องมือสร้างสโลแกน มีเครื่องมือสร้างหัวข้อบล็อก และมี AI เขียนเนื้อหาที่ถูกหลัก SEO ให้กับคุณด้วย เนื้อหาที่ถูกสร้างมา เราลองดูแล้วก็รู้สึกว่ายังเฉย ๆ – และบอกตามตรงว่าเราชอบที่จะเขียนเนื้อหาของเราเองมากกว่า แต่มันก็อาจจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของคุณได้ ถ้าคุณรู้สึกติดและก็เขียนอะไรไม่ออก และก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
ความยืดหยุ่นของดีไซน์
สำหรับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดูเรียบง่ายแล้ว Hostinger นั้นมี ความยืดหยุ่นในการออกแบบค่อนข้างสูง เทมเพลตนั้นก็ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกบังคับให้ใช้งานได้เฉพาะตามที่ถูกออกแบบมาเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถเลือกโทนสีในภาพรวมสำหรับเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องใช้เฉพาะสีในโทนนั้นเท่านั้น อันที่จริง คุณสามารถปรับแต่งสีของแต่ละองค์ประกอบได้ตามที่คุณต้องการเลย
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซของ Hostinger นั้นจะมีให้ใช้งานเฉพาะในแพลนระดับอีคอมเมิร์ซขึ้นไปและก็ มีคุณภาพและใช้งานง่าย คุณต้องออกจากหน้าปรับแต่งเว็บไซต์และเข้าไปที่ “Store Manager” (ตัวจัดการร้าน) เพื่อเริ่มสร้างเว็บไซต์ร้านของคุณ แต่การเปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งสองหน้านั้นก็ง่ายมาก Hostinger ยังมีรายการแบบเป็นขั้นตอนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อเปิดร้านค้าออนไลน์ของคุณด้วย มันจะช่วยให้คุณทำตามขั้นตอนพื้นฐานต่าง ๆ เช่นการเพิ่มผลิตภัณฑ์ การระบุตัวเลือกจัดส่ง และการเลือกวิธีการชำระเงิน เมื่อถึงขั้นตอนการจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ การติดตามคงคลัง และการสร้างตัวเลือกผลิตภัณฑ์ แล้วจะเริ่มซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย (เรื่องสุดท้ายนี่ทำให้เราเจอข้อความผิดพลาดอยู่หลายนาทีเลยเหมือนกัน) แน่นอนว่าซับซ้อนไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้ และเราก็สามารถหาทางออกได้ในที่สุด เรื่องหลัก ๆ ที่กวนใจเราเลยก็คือ Hostinger ไม่มีบล็อกแบบสร้างสำเร็จสำหรับไว้แสดงผลิตภัณฑ์หลัก ในหน้าโฮมเพจ – ซึ่งมันเป็นฟีเจอร์พื้นฐานมากสำหรับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ ทางเลือกของเราก็คือการแทรกหน้าร้านทั้งหน้าของเราเพิ่มเข้าไป แปลกมาก
ราคา
ราคาแพลนระดับพรีเมียมของ Hostinger นั้นค่อนข้างถูกมาก – และก็ถือว่ามันคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณได้รับ ถ้าคุณเลือกจ่ายเป็นรายปีก็ยิ่งถูกลงไปอีก และมันก็ยังมีชื่อโดเมนฟรีให้ใช้งานสำหรับปีแรกด้วย แต่ถ้าจะให้พูดกันจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า Hostinger ก็เหลี่ยมจัดเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ราคาที่พวกเขาโฆษณานั้นมาจากสมมติฐานว่าคุณจะทำสัญญาผูกมัดสี่ปี เป็นการผูกมัดที่ยาวนานมาก หากคุณคิดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มในแต่ละเดือนแล้ว คุณอาจจะใช้เงินได้คุ้มค่ากว่านี้จากผู้บริการรายอื่น – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Hostinger มีคะแนน PageSpeed Insight ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมันก็เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมากที่ไม่มีให้ทดลองใช้ฟรี ซึ่งคู่แข่งส่วนใหญ่ของ Hostinger เขามีให้ถ้าพวกเขาไม่มีแพลนระดับฟรี โดยส่วนตัวแล้ว เราค่อนข้างรู้สึกไม่โอเคเล็กน้อยที่ต้องหยิบบัตรเครดิตออกมาก่อนที่เราจะได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์เสียอีก ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม Hostinger ก็มีการรับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน ดังนั้น…ก็เรียกได้ว่าทดลองใช้ฟรีแบบย้อนหลังมั้ง?ฟีเจอร์อื่น ๆ
ในฐานะเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อย่างง่าย Hostinger นั้นก็ไม่มีฟีเจอร์พิเศษอะไรมากมายนัก แต่มันก็มีฟีเจอร์พื้นฐานที่ครอบคลุม ฟีเจอร์ที่ดีที่สุดของมันประกอบไปด้วย:- เครื่องมือ SEO และการตลาดที่ครอบคลุม ประกอบไปด้วย heat maps (สำหรับใช้ติดตามว่าผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับส่วนไหนของเว็บไซต์มากที่สุด), การบูรณาการร่วมกับ Facebook Pixel, Facebook Live Chat, Google Analytics และ Google Tag Manager
- โปรแกรมสำหรับปรับแต่งเพื่ออุปกรณ์เคลื่อนที่และเดสก์ท็อปโดยเฉพาะเพื่อให้ใช้งานแยกกัน
- แอปสำหรับทั้ง iOS และ Android สำหรับใช้จัดการร้านค้าของคุณในขณะเดินทาง
- เครื่องมือนำเข้าเว็บไซต์ซึ่งสามารถนำเข้าข้อความและรูปภาพจากเว็บไซต์ที่คุณมีอยู่แล้วเข้าสู่ Hostinger
#7 Webnode – ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเว็บหลายภาษา

เกณฑ์ | คะแนน/เต็ม |
ความง่ายในการใช้งาน | 6/10 |
ความยืดหยุ่นของดีไซน์ | 4/10 |
ราคา | 4/10 |
เทมเพลทที่ใช้งานได้ | 110+ |
แอปพลิเคชั่นที่มีให้ | ไม่มี |
ความง่ายในการใช้งาน
Webnode สามารถทำอะไรได้หลายอย่างและทำได้ง่ายอีกด้วยคุณสามารถเพิ่มเนื้อหาลงในเทมเพลตของคุณโดยเลือกบล็อกเนื้อหาจากเมนูบนเครื่องมือแก้ไขได้โดยตรง นอกจากนี้ตัวเลือกในการเปลี่ยนดีไซน์ เพิ่มรูปภาพและสิ่งอื่น ๆ ยังแสดงอยู่ใกล้ ๆ กับคุณไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ต้องไหนก็ตามอีกด้วย ซึ่งฉันชอบมันอย่างมาก ฉันไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเมนูและเว็บไซต์
ความยืดหยุ่นของดีไซน์
ความยืดหยุ่นในการออกแบบเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของฉันกับ Webnode คุณสามารถเลือกสีเสริมได้เพียงสีเดียวเพื่อให้เข้ากับเทมเพลตพื้นฐานของคุณ และสีนั้นสามารถปรากฏในห้าตำแหน่งเท่านั้น ทุกอย่างอื่นถูกตั้งค่าตามสีเทมเพลตเริ่มต้นของคุณ คุณไม่มีตัวเลือกในการเพิ่มสีที่กำหนดเอง ซึ่งอาจเป็นปัญหาได้หากคุณมีสีของแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจง บริการมีเทมแพลตที่อาจใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณต้องการแต่ถ้าคุณต้องการสร้างเฉดสีที่ต้องการขึ้นใหม่ โชคอาจไม่เข้าข้างคุณนัก
ราคา
Webnode มีแผนชำระเงินสี่แผน และคุณจะต้องเลือกหนึ่งในสองแผนสูงสุด หากคุณต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์หรือต้องการสร้างเว็บหลายภาษา แผนระดับสูงสุดมาพร้อมกับพื้นที่จัดเก็บที่มากขึ้นและฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ตัวเลือกสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์และเว็บไม่จำกัดภาษา แผนของ Webnode ไม่ได้คุ้มค่าที่สุดสำหรับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ทั้งหมดในรายการนี้ เพราะมีตัวเลือกการปรับแต่งที่มีข้อจำกัด แต่ Webnode เป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการสร้างเว็บในหลายภาษาฟีเจอร์อื่น ๆ
ฉันได้พูดคุยเกี่ยวกับฟีเจอร์การสนับสนุนหลายภาษา ซึ่งมันยอดเยี่ยมมาก มันทำให้คุณสามารถมอบประสบการณ์เว็บไซต์เดียวกันสำหรับผู้ใช้ภาษาต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ Webnode ก็นำเสนอฟีเจอร์ที่ยอดเยี่ยมอื่น ๆ เหมือนกัน:- การตั้งค่า Page-level SEO พร้อมช่องสำหรับโค้ด HTML ที่กำหนดเอง
- เครื่องมือสร้างแบบฟอร์มที่ปรับแต่งได้อย่างสมบูรณ์ (สำหรับแบบฟอร์มการติดต่อ ฯลฯ)
- ตัวเลือกการลงทะเบียนสมาชิก (ตัวเลือกสองแผนสูงสุด)
- บล็อกเนื้อหาวิดีโอพื้นหลังสำหรับส่วนหัวหรือส่วนอื่น ๆ ของหน้า
- บัญชีอีเมลสูงสุด 100 บัญชีในโดเมนของคุณ ขึ้นอยู่กับแผนของคุณ
#8 Volusion [อีคอมเมิร์ซ] – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 6/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 9/10 |
การกำหนดราคา | 7/10 |
จำนวนเทมเพลต | 14 |
จำนวนแอพพลิเคชั่น | 14 |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
ฉันชอบสิ่งต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ Volusion: แถบด้านข้างที่ใช้งานง่ายกระบวนการเพิ่มผลิตภัณฑ์นั้นละเอียดแต่มีความคล่องตัวและง่ายต่อการค้นหาวิธีการติดตามคำสั่งซื้อสินค้าคงคลังและอื่นๆ รายการการนำทางแต่ละรายการในแผงควบคุมนั้นมีรหัสสีและมีไอคอนที่ไม่เหมือนใคร อินเทอร์เฟซของพวกเขาจึงดูสวยงาม น่าดึงดูดและใช้งานง่าย ขณะที่ฉันกำลังสร้างเว็บไซต์ Volusion ของฉันก็มีบางสิ่งที่ทำได้ยากขึ้น Volusion ไม่มีฟีเจอร์บล็อกในตัว ดังนั้นคุณต้องใช้งานฟีเจอร์นี้จาก WordPress หรือแพลตฟอร์มบล็อกอื่น ๆ มันฟังดูง่ายในด้านทฤษฎี แต่มันไม่ชัดเจนว่าคุณจะต้องตัด “https: //” ออกจากส่วนต้นของ URL บล็อกของคุณหรือไม่ คุณไม่สามารถเพิ่มแบบฟอร์มการติดต่อโดยตรงซึ่งฉันคิดว่ามันไม่โอเคเอาเสียเลย ฉันถามฝ่ายสนับสนุนในไลฟ์แชทเกี่ยวกับเรื่องนี้และพวกเขาบอกว่าฉันอาจจะสามารถเพิ่มโดยใช้ HTML ที่กำหนดเองได้ แต่พวกเขาไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนกับฉันได้ แม้ว่าการสนับสนุนจะมีประโยชน์และรวดเร็วโดยรวม แต่การที่ฉันต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคเพื่อเพิ่มฟีเจอร์มาตรฐานในเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ (และสิ่งที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ) นั้นเป็นอะไรที่ไม่สะดวกเอาเสียเลย
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
Volusion มีความสามารถในการออกแบบมากมาย มาพร้อมกับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ชั้นนำบางรายในรายการนี้ คุณสามารถปรับแต่งสีของคุณได้อย่างสมบูรณ์ มีบล็อกเนื้อหาให้เลือกน้อย แต่มันดีมากและคุณสามารถแก้ไขเลย์เอาท์บล็อกเริ่มต้นและบันทึกเพื่อใช้อีกครั้งในที่อื่นบนเว็บไซต์ของคุณ มีตัวเลือกมากมายสำหรับการปรับแต่งแต่ละบล็อคที่อยู่ในรายการเมนูดอร์ปดาวน์หรือแถบที่คุณสามารถคลิกเปิดหรือปิดได้
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ
อินเทอร์เฟซอีคอมเมิร์ซของ Volusion มีสีสันสดใสและใช้งานได้ง่าย มันจะให้คำแนะนำคุณในแต่ละขั้นตอนของการเพิ่มและจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ การติดตามสินค้าคงคลังและการจัดการคำสั่งซื้อโดยแต่ละส่วนจะนำคุณไปยังขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการติดตามตัวเลือกย่อยของผลิตภัณฑ์ รวมตัวเลือกย่อยหลายแบบด้วยกันอัตโนมัติและสร้างฟอร์มรายการซึ่งคุณสามารถติดตามสินค้าย่อยคงคลังได้
การกำหนดราคา
เครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซมักจะมีราคาแพงกว่าเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ทั่วไปเสมอเนื่องจากมีความสามารถในการจัดเก็บและการวิเคราะห์ที่มากขึ้น Volusion นั้นมีราคาเครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซเท่า ๆ กับผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ในทุกระดับแผน แต่มันคุ้มค่ากับคุณ หากคุณขายผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง มี การทดลองใช้ฟรี 14 วัน ดังนั้นคุณสามารถดูว่ามันเหมาะสมกับคุณหรือไม่ก่อนจะซื้อบริการ#9 Shopify [อีคอมเมิร์ซ] – เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับร้านค้าออนไลน์

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 7/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 7/10 |
การกำหนดราคา | 7/10 |
จำนวนเทมเพลต | 8 ฟรี/มีค่าธรรมเนียม 70+ |
จำนวนแอพพลิเคชั่น | 4000+ |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
Shopify มีฟีเจอร์ที่ใช้งานง่ายมากมายแต่รูปแบบของเครื่องมือแก้ไขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกำลังทำงานซึ่งไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่ดีเท่าไหร่ เครื่องมือแก้ไขหน้าแรกเป็นเครื่องมือแก้ไขแบบบล็อกเหมือน SITE123 หรือ Jimdo แต่หน้าอื่น ๆ ทุกหน้าจะถูกแก้ไขในรูปแบบข้อความคล้าย ๆ กับของ WordPress รุ่นก่อน Gutenberg
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ
Shopify มีตัวเลือกสีและแบบอักษรจำนวนมากเพื่อกำหนดธีมของคุณเองรวมถึงบล็อกที่มีให้เลือกมากมายซึ่งคุณสามารถใช้สร้างโฮมเพจของคุณได้ ความยืดหยุ่นของการจัดวางไม่ได้เป็นเช่นเดียวกันในหน้าอื่น ๆ แต่มีแอพพลิเคชั่นเครื่องมือสร้างหน้าให้เลือกนับพันรายการ ซึ่งอาจให้ความยืดหยุ่นในการออกแบบเพิ่มเติมสำหรับหน้าร้านค้าบางหน้า (อย่างไรก็ตาม หากคุณมีเนื้อหาในเว็บไซต์จำนวนมากและต้องการความสามารถในร้านค้าออนไลน์อย่างมาก คุณอาจต้องใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อันอื่น)ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซของ Shopify นั้นมีจุดประสงค์การใช้งานเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้าที่มีหน้าร้าน ดังนั้นพวกเขาจึงมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมสำหรับเพิ่มสถานที่และติดตามสินค้าคงคลังในแต่ละร้าน รวมถึงการถ่ายโอนไปยังและจากสถานที่ต่าง ๆ
การกำหนดราคา
เครื่องมือสร้างอีคอมเมิร์ซทั้งหมดมีโครงสร้างการกำหนดราคาที่คล้ายกัน แต่ Shopify ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าสำหรับคุณ (นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้ฟรีอีกด้วย) คุณสามารถรับส่วนลดค่าจัดส่งจำนวนมาก ความสามารถในการเพิ่มที่ตั้งร้านค้าและสินค้าอื่น ๆ อีกสองสามรายการในราคาเดียวกันกับ Volusion#10 BigCommerce [E-commerce] – เครื่องมือสร้างเว็บที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการสินค้าจำนวนมาก

เกณฑ์ | คะแนน/หมายเลข |
ความง่ายในการใช้งาน | 8/10 |
ความยืดหยุ่นของการออกแบบ | 5/10 |
การกำหนดราคา | 8/10 |
จำนวนเทมเพลต | 12 ฟรี/มีค่าธรรมเนียม 187 |
จำนวนแอพพลิเคชั่น | 1000+ |
มีให้ใช้ในภาษาไทย | ไม่ |
ความง่ายในการใช้งาน
เครื่องมือของ BigCommerce นั้นถูกสร้างมาสำหรับ ทีมและบริษัท หรือผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว มันอาจจะไม่ได้ยากเสียทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้ใช้งานได้ง่ายนักหรือไม่เหมาะกับผู้ใช้ใหม่ซักเท่าไหร่ หลังจากสมัครใช้งาน คุณจะถูกพาไปยังแดชบอร์ด ซึ่งเป็นที่ที่คุณจะจัดการทุกองค์ประกอบของเว็บไซต์ของคุณ ด้วยเมนู ป๊อปอัปและเมนูดรอปดาวน์ทั้งหมด การเริ่มต้นอาจดูมีตัวเลือกเยอะมากไปหน่อย แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบคำแนะนำสั้น ๆที่อธิบายหน้าที่หลักของแดชบอร์ดให้ผู้ใช้ แต่อย่างไรก็ตามบริการมีเช็คลิสเพื่อช่วยคุณเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายขึ้น
ความยืดหยุ่นของดีไซน์
BigCommerce นำเสนอเทมเพลตที่สวยงามและใช้งานได้บนมือถือจำนวนมาก แต่มีแค่ 12 เทมเพลตเท่านั้นที่ใช้ได้ฟรี แต่จำนวนนี้ก็มากกว่าที่คู่แข่งรายใหญ่อย่าง Shopify หรือ Square Online นำเสนอให้แล้ว แม้ว่าจะน้อยกว่าที่เครื่องมือสร้างทั่วไปนำเสนอให้ก็ตาม ธีมแบบชำระเงินส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 110 ถึง 220 ดอลลาร์ (บางอันมีราคาสูงถึง 300 ดอลลาร์) มันมีราคามากพอสมควรก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่มาอะไรสำหรับเว็บอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เช่นกัน หากต้องการ คุณสามารถซื้อธีมราคาถูกจากผู้ให้บริการบุคคลที่สาม เช่น ThemeForest ได้ นอกจากนี้ BigCommerce ยังมีตัวเลือกการปรับแต่งมากมาย (หากคุณเข้าใจวิธีการใช้เครื่องมือแก้ไขของ BigCommerce) การใช้เครื่องมือแก้ไขหน้าร้านและเครื่องมือสร้างเพจร่วมกัน คุณสามารถปรับแต่งสี ฟอนต์และเลย์เอาต์ของหน้าที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือหน้ารายการทั้งหมดได้ นอกจากนี้เทมเพลตส่วนใหญ่ยังมาพร้อมกับตัวเลือกธีมสีอีก 2-4 แบบอีกด้วย
ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ
ความง่ายในการใช้งานและความยืดหยุ่นในการออกแบบของ BigCommerce ไม่ได้มีความโดดเด่นซักเท่าไหร่ แต่ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซของบริการนี้มีความโดดเด่นอย่างมาก (อย่างที่คุณพอเดาได้จากชื่อ) BigCommerce มีชุดฟีเจอร์พื้นฐานที่แข็งแกร่ง: พื้นที่เก็บข้อมูลและแบนด์วิดท์ไม่จำกัด, Google AMP สำหรับการโหลดเว็บไซต์ที่รวดเร็ว, แอปมือถือ, เครื่องมือสร้างบล็อกอย่างง่าย, ส่วนลดและคูปอง, การให้คะแนนและรีวิวผลิตภัณฑ์, การแจ้งเตือนรถเข็นที่ถูกละทิ้งและการผสานการทำงานกับผู้ให้บริการชำระเงินภายนอก (และอื่น ๆ อีกมากมาย) BigCommerce ยังมีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซที่ยอดเยี่ยมอีกหลายอัน ซึ่งในความคิดของฉันแล้วการใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้นั้นคุ้มค่าสำหรับร้านค้าออนไลน์อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น BigCommerce ให้คุณขายผลิตภัณฑ์ของคุณได้ในทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่เว็บไซต์ในหลายภาษา แต่ยังหมายถึงเว็บไซต์ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคและผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันไป แม้ว่าคุณจะไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ แต่บริการก็ยังมีฟีเจอร์อีกหลายอย่างที่จะช่วยส่งเสริมธุรกิจของคุณ ตัวเลือกการขายหลายช่องทางของ BigCommerce เป็นตัวอย่างที่ดี คุณสามารถลงผลิตภัณฑ์ของคุณบน Amazon, eBay, Walmart, Google Shopping และตลาดบนโซเชียลมีเดียอื่น ๆ และจัดการทุกอย่างจากบัญชี BigCommerce ของคุณได้ สินค้าคงเหลือของคุณจะถูกซิงค์กับแพลตฟอร์มเพื่อไม่ให้คุณขายเกินจำนวนที่มี นอกจากเครื่องมือ SEO ที่มีประสิทธิภาพแล้ว BigCommerce ยังมีเครื่องมือทางการตลาดที่แข็งแกร่งอีกด้วย คุณสามารถซิงค์ข้อมูลร้านค้ากับแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอีเมล เช่น MailChimp, G Suite และ Constant Contact ในแผน Plus ขึ้นไป คุณสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าของคุณออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ และทำการตลาดกับพวกเขาด้วยวิธีที่แตกต่างกันได้ หากคุณต้องการรวมการช็อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน BigCommerce มีตัวเลือกการผสานการทำงานกับ POS ชั้นนำ รวมถึง Square, Vend, Clover และอื่น ๆ ช่วยให้คุณสามารถซิงค์จำนวนสินค้าคงคลังของคุณและให้ลูกค้าของคุณเข้ามาเลือกซื้อได้จากหน้าร้าน คุณสามารถเพิ่มฟังก์ชันการทำงานเพิ่มเติมได้ผ่านแอปเพิ่มเติมของ BigCommerce มากกว่า 1,000 แอป (มีแอปฟรี) ซึ่งมีแอปสำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่การจัดการการจัดส่งและคำสั่งซื้อ ไปจนถึงการตลาดและการวิเคราะห์ราคา
อย่างที่คุณอาจเดาจากจำนวนฟีเจอร์ที่บริการนำเสนอ BigCommerce ไม่ได้มีราคาที่ถูก แต่เมื่อพิจารณาถึงข้อเสนอต่าง ๆ ราคาของ BigCommerce นั้นสมเหตุสมผลมาก ที่จริงแล้ว BigCommerce มีโครงสร้างการกำหนดราคาที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐาน โดยแต่ละแผนมีต้นทุนใกล้เคียงกับแผน Shopify ที่คล้ายกัน อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างระหว่าง BigCommerce และ Shopify อยู่ เช่น ฟีเจอร์กู้คืนรถเข็นที่ถูกละทิ้งในแผนราคาถูกที่สุด ในขณะที่ BigCommerce ต้องอัปเกรดเป็นแผน Plus ระดับกลางเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์นี้ ในทางกลับกัน BigCommerce ให้คุณมีบัญชีพนักงานไม่จำกัดตั้งแต่เริ่มต้น ในขณะที่ Shopify จำกัดคุณไว้ที่ 2, 5 หรือ 15 บัญชี ขึ้นอยู่กับแผนของคุณ แต่สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับ BigCommerce คือ การที่บริการไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพิ่มเติม ซึ่งแตกต่างจาก Square Online และ Shopify (Shopify ยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมหากคุณใช้ Shopify Payments) สิ่งนี้ทำให้ BigCommerce เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหากคุณมีผลิตภัณฑ์ที่ต้องการขายจำนวนมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ BigCommerce ยังนำเสนอการทดลองใช้งานฟรี 15 วัน ดังนั้นคุณสามารถทดลองใช้งานเพื่อให้คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจได้สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้และสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจ
ก่อนที่จะทำโปรเจคนี้ ฉันไม่ได้คิดถึงว่าเครื่องมือสร้างเว็บไซต์จะมีความต่างกันมากขนาดนี้ ขั้นตอนการทดสอบนี้แสดงให้ฉันเห็นว่ามันมีความแตกต่างมากเท่าไหร่และคุณต้องการเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ถูกต้องมากแค่ไหนเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณในฐานะเครื่องมือสร้างเว็บไซต์และสำหรับผู้เข้าชม สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจที่สุดก็คือการได้เห็นการแลกเปลี่ยนความยืดหยุ่นในการออกแบบและปัจจัยอื่น ๆ ในการทำงาน โดยทั่วไปเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอความยืดหยุ่นอย่างมากเช่น Wix จะใช้เวลาในการสร้างนานขึ้นและมีความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่ช้าลง ในขณะที่เครื่องมือที่จำกัดตัวเลือกของคุณจะทำให้การสร้างเว็บไซต์นั้นเร็วขึ้นและรับประกันว่าจะมีการออกแบบที่ดี (เพราะคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ของคุณเอง) หลังจากทดสอบเครื่องมือสร้างเว็บไซต์จำนวนมากและสร้างเว็บไซต์จริง นี่คือคำแนะนำหลักที่ฉันจะมอบให้กับผู้ที่ตัดสินใจเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์:- รู้เป้าหมายเว็บไซต์ของคุณล่วงหน้า คุณต้องการขายสินค้าหรือเปิดบล็อก หรือทั้งสองอย่าง วิธีนี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะสม เนื่องจากผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน เลือกใช้แบบที่ยืดหยุ่นกว่าหากคุณไม่แน่ใจ
- ราคาถูก (หรือฟรี) ไม่ดีกว่าเสมอไป เครื่องมือสร้างเว็บไซต์บางรายมีความคุ้มค่าที่มากกว่า แต่โดยรวมแล้วคุณจะได้รับสิ่งที่คุณจ่ายไป คุณและผู้เยี่ยมชมจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นหากคุณยินดีจ่ายเพื่อใช้งาน
- การใช้แบบที่สร้างไว้ล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เครื่องมือสร้างเว็บไซต์จำนวนมากต้องการให้คุณรู้ว่าคุณมีความยืดหยุ่นสูง แต่การปรับแต่งแบบจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะทำให้มันแย่ลงอย่างรวดเร็ว หากคุณรู้ว่าคุณไม่ฝีมือด้านการออกแบบ เลือกเครื่องมือสร้างที่มีคำแนะนำในตัวเช่น Squarespace มันจะมีประโยชน์ต่อคุณมากจริง ๆ
คำถามที่พบบ่อย
การสร้างเว็บไซต์ของตัวเองหรือจ้างนักออกแบบเว็บไซต์ แบบไหนดีกว่ากัน
เมื่อฉันเรียนรู้จากการทดสอบการสร้างเว็บไซต์ของฉัน การสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวคุณเองมันทำได้ค่อนข้างง่าย- แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านการออกแบบ! เมื่อคุณสร้างเว็บไซต์ของคุณเอง คุณจะประหยัดเงินในการจ้างนักออกแบบและสามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้มากเท่าที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องส่งกลับไปกลับมากับนักออกแบบเพื่อแก้ไข อย่างไรก็ตามการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวคุณเองอาจใช้เวลานานขึ้นและถูกจำกัดโดยตัวเลือกการปรับแต่งของเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่คุณเลือก หากคุณจ้างนักออกแบบคุณจะพบว่าตัวเองจ่ายเงินมากเกินไปสำหรับเวลาและประสบการณ์ของพวกเขา (แม้ว่าคุณสามารถใช้ Fiverr เพื่อค้นหาตัวเลือกที่ไม่แพง) แต่คุณจะได้รับผลงานจากมืออาชีพที่น่าทึ่ง การออกแบบที่ไม่เหมือนใครสำหรับคุณเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ฟรีที่ดีที่สุดคืออะไร
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ฟรีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน – บางตัวเลือกจำกัดจำนวนหน้าที่คุณสามารถสร้างได้เพียงแค่ไม่กี่หน้า ในขณะที่บางตัวเลือกอื่นจำกัดจำนวนพื้นที่เก็บข้อมูล แต่บริการเกือบทั้งหมดแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์ของคุณ ตรวจสอบการประเมินของเราเกี่ยวกับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ฟรีที่ดีที่สุดเพื่อดูว่าบริการไหนที่ดีที่สุดสำหรับความต้องการของคุณแผนการสร้างเว็บไซต์ควรราคาเท่าไหร่
แผนเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบชำระเงินมีหลากหลายขึ้นอยู่กับระดับของแผนและฟีเจอร์ที่นำเสนอ ในระหว่างการทดสอบนี้มีราคาเริ่มต้นที่ $4 สำหรับแผนส่วนบุคคลจนไปถึง $50 สำหรับแผนธุรกิจระดับพรีเมียม (นอกจากนี้ยังมีแผนระดับองค์กรที่มีราคาหลายร้อยดอลล่าร์) โดยเฉลี่ยแล้วแผนยอดนิยมจะอยู่ระหว่าง $12- $25 ต่อเดือน หากคุณซื้อแผนรายปี การจ่ายเงินล่วงหน้าหนึ่งปีจะช่วยให้คุณประหยัดเงินโดยรวม แต่จะต้องชำระเงินมากขึ้นในตอนแรก อย่าพลาดคำแนะนำด้านราคา Wix ที่ดีที่สุดของเราคุณควรอัปเกรดเป็นแผนสร้างเว็บไซต์แบบชำระเงินเมื่อใด
คุณควรอัปเกรดเป็นแผนชำระเงินทันทีที่คุณต้องการโดเมนที่กำหนดเองเพื่อเริ่มสร้างแบรนด์และ SEO ออนไลน์ เครื่องมือสร้างไซต์ทุกรายในรายการนี้ต้องใช้แผนการชำระเงินเพื่อเชื่อมต่อโดเมนที่กำหนดเอง ด้วยแผนชำระเงินโดยทั่วไปบริการจะนำโฆษณาในตัวออก ซึ่งสามารถช่วยเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณได้ หากคุณไม่มีความต้องการเร่งด่วนสำหรับโดเมนที่กำหนดเองการอัปเกรดเป็นแผนชำระเงินจะขึ้นอยู่กับความต้องการของเว็บไซต์ของคุณและเครื่องมือสร้างที่คุณเลือกเป็นส่วนใหญ่ ทันทีที่เว็บไซต์ของคุณมีต้องการมากกว่าที่แผนฟรีนำเสนอ คุณควรอัพเกรด – แต่นั่นคือเมื่อคุณต้องการมากกว่า 5 หน้าใน Jimdo หรือเมื่อคุณต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า 500 MB ใน Wixเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบลากแล้ววางคืออะไร
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบลากและวางหมายถึงความสามารถในการเพิ่มและย้ายองค์ประกอบของเว็บไซต์ได้ทุกที่บนหน้าเว็บเพียงแค่คลิกด้วยเมาส์ของคุณและลากไปยังตำแหน่งที่คุณต้องการ มันแตกต่างจากเครื่องมือแก้ไขแบบบล็อกซึ่งมีตัวเลือกมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสามารถวางบนเว็บไซต์และตำแหน่งที่คุณต้องการฉันจะไปเอาชื่อโดเมนของฉันได้ที่ไหนและอย่างไร
เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะนำเสนอชื่อโดเมนฟรีพร้อมการสมัครสมาชิกแบบรายปีสำหรับแผนชำระเงิน ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุดในการรับชื่อโดเมนของคุณ คุณสามารถค้นหาชื่อโดเมนจากผู้รับจดทะเบียนโดเมนหรือผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง อ่านคู่มือของเราเพื่อเลือกชื่อโดเมนหากคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม- Wix
- SquareSpace
- Site123
- 1&1IONOS เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อั
- WordPress.com
- Hostinger Website Builder
- Webnode
- Volusion
- Shopify
- BigCommerce
- สิ่งที่ฉันมองหาในเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ดีที่สุด
- เครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซหรือเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ปกติที่มาพร้อมกับคุณสมบัติอีคอมเมิร์ซ
- กระบวนการทดสอบ
- ผลลัพธ์โดยละเอียด: ประสิทธิภาพของเครื่องมือสร้างแต่ละตัว
- สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้และสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจ
- คำถามที่พบบ่อย
เราดีใจมากที่คุณ อบ